วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ความประทับใจในชีวิต

...ที่ครั้งหนึ่งยังคงได้จำ ว่าได้พบเธอ



คำเตือน! โปรดอ่านก่อนเริ่มต้นอ่าน
  1. เนื่องจากเนื้อหามีความยาวมาก ใครที่มีนิสัย "ยาวไปไม่อ่าน" กรุณาข้ามไปอ่านพารากราฟสุดท้ายทันที!
  2. หากมีจุดที่พิมพ์ผิด ต้องกราบขออภัย ผมติดนิสัยการ "ก้มหน้าพิมพ์" นานๆ จะเงยหน้าขึ้นมามองสักที
  3. ถึงคุณครูผู้ทำการตรวจงาน อาจจะยาวไปสักหน่อย ต้องขออภัยด้วยครับ เพราะผมเชื่อว่าหลายๆ คนถ้าหากประสบเหตุการณ์ความประทับใจนี้แบบผมก็น่าจะสามารถบรรยายได้ยาวกว่า 5 หน้ากระดาษ A4
  4. ผมยอมรับครับว่าผมบ้า เพ้อ ฝุ้งในโลกของ 2D หรือโลกของ Animetion ที่ทางประเทศญี่ปุ่นได้ผลิตออกมา หากจะว่าก็ว่าผมเถิด เพราะนี่คืออีกโลกหนึ่งที่ผมสามารถแสดงความรักให้กับสิ่งเหล่านี้ได้
  5. สิ่งที่เขียนนี้ผมจะถือว่าเป็น "การสัมภาษณ์" ตัวผมเองครับ ไม่ใช่การเขียนรายงานหนึ่งเล่ม ผมจะทั้งพิมพ์คำถาม ทั้งตอบเอง หลังจากอ่านจบคุณอาจจะเป็นแฟนพันธุ์แท้ของผมได้เลย
  6. (อัพเดท 17 ธ.ค. 56) ผมชอบสีม่วงครับ
ขอบคุณครับ





----------------------------------------------------------------------------------------------------------

หลังจากลองเขียนบล็อคมาสองวัน จะว่ายังไงดี มันทำให้ผมรู้สึก 14 อีกครั้ง (ไปนู่น) ซึ่ง ... เอ่อ มันก็คือการเขียนอะไรๆ ในชีวิตประจำวันดีๆ นี่เอง ถ้าสำหรับคนธรรมดาจะเห็นว่า "โอ๊ย ยากเว้ย" ไม่ก็ "เขียนไม่เป็น" อะไรทำนองนี้ ซึ่งผิดกับคนแบบผม ยากหน่อยนะ แต่ผมชอบการเขียน (พิมพ์) มากกว่า ผมมีประสบการณ์การเขียน การแปลข่าวจากเว็บบอร์ดภาษาญี่ปุ่น ในอดีตก็มักจะแปลข่าวลงเว็บไซด์ J-hero.com อยู่บ่อยๆ ปัจจุบันไม่ค่อยทำแล้วเพราะแฟนเพจใน Facebook สะดวกกว่ามาก แต่เพราะการใช้งานเว็บบอร์ดมาก่อน ทำให้ผมค่อนข้างคุ้นชินกับการใช้บล็อคเกอร์แห่งนี้ด้วย เครื่องไม้เครื่องมือแทบจะเหมือนกันจนเรียกได้ว่าคล้ายพี่คล้ายน้องคลานตามกันมาเลยทีเดียว

นอกเรื่องอีกละ ... วันนี้ผม MR.DANGEROUS จะมาเริ่มต้นทำงานที่คุณท่านอาจารย์ได้มอบหมายให้ นั่นคือการเขียนเรื่องราวความประทับใจในชีวิตสักเรื่องหนึ่ง อืม ... สำหรับผมมันยากนะ ตั้งแต่เกิดมายันอายุ 21 นี้ผมมีเรื่องราวน่าประทับใจหลายอย่าง แต่เพราะเยอะเกินไปไง ผมเลยขอยกมาแค่เรื่องเดียวตามที่อาจารย์กำหนด ลองอ่านดูครับว่าใครเคยประสบเหตุการณ์แบบนี้กับผมบ้าง (ノ ̄ー ̄)ノ


คุณเคยพบกับศิลปินหรือนักแสดงที่ตนเองปลาบปลื้มมากๆ แบบจะจะบ้างครับ  ?


หัวข้อนี้ครับที่ผมจะเขียนถึง "ความประทับใจ" ในชีวิตที่ได้รับมอบหมาย แน่นอนว่าหลายๆ คนจะต้องมีศิลปินในดวงใจ นักแสดงที่รัก นักร้องที่ชอบกันอย่างแน่นอน  สำหรับผม ใช่ ผมมีนักร้อง นักแสดง และศิลปินหลายคนที่อยู่ในดวงใจ ขอยกตัวอย่างเช่น ศิลปินเกาหลี Girls Generation, SHINEE, F(x) หรือศิลปินญี่ปุ่น X-Japan, Arashi, นักร้องเพลงประกอบอนิเมชั่นอีกหลายๆ คนเป็นต้น หากแต่วันนี้ผมอยากจะมาพูดถึงคนๆ หนึ่งที่ไม่ใช่ทั้งนักแสดง ไม่ใช่นักร้อง แต่เป็น "คอสเพลย์เยอร์" คนหนึ่งที่ผมปลื้มเธอมากๆ ทั้งหน้าตาที่สวยงาม รูปร่างสมส่วน (ถ้าพี่ไทยคงพูดว่าอรชรอ้อนแอ้น) เธอเป็นคนเกาหลีครับ และด้านล่างนี้คือประวัติโดยย่อของเธอ




Asa Miyuko / 강윤진 / Kang Yun Jin

ประวัติโดยย่อ

บ้านเกิด : South Korea (ประเทศเกาหลีใต้)

ชื่อจริง :  Kang Yun Jin (คังยุนจิน)

ชื่อในวงการคอสเพลย์ : Asa Miyuko

วันเกิด : April 16, 1992 (16 เมษายน 2535)

อายุ : 21 ปี (นับตามปฏิทินเกาหลี 22 แต่จริงๆ 21 ครับ)



Noel Vermillion (จากเรื่อง BlazBlue)


Kuroneko (Maid Ver.) (จากเรื่อง น้องสาวของผมไม่น่ารักขนาดนั้นหรอก)


AHRI (จากเกม League Of Legends)


Krista Lenz (Historia Reiss จากเรื่อง Shingeki No Kyojin)

Umi Sonoda (จากเรื่อง Love Live! School Idol Project)

ขอยกประวัติของเธอมาแต่เพียงเท่านี้ครับ

----------------------------------------------------------------------------------------------------------

ขอเล่าเรื่องความประทับใจเรื่องแรกเกี่ยวกับเธอก่อนเลยละกันครับ
กับงานนี้ !!

Aza Miyuko @ Wacoal
Comic Party 58 in Bangkok




เมื่อเดือนกันยายน ผมทราบข่าวการมายังประเทศไทยของมิยูโกะจากหน้าแฟนเพจอย่างเป็นทางการของเธอ ผมจึงจัดตารางชีวิตตัวเองใหม่ให้มันลงตัวกับงานนี้ และงานนี้จัดขึ้นตรงกับวันเสาร์ในเดือนกันยายน 2556 พอดี ผมรู้ว่ามันเป็นวันว่าง จึงจัดเตรียมอะไรต่อมิอะไรไปให้เรียบร้อย น่าเสียดายว่าขาดแต่เพียงกล้องเท่านั้น 

พอถึงวันจริง ท้องฟ้ามืดครึ้ม จากที่นัดเพื่อนหนึ่งคนไว้เขากลับไม่มาซะอย่างนั้น ทั้งที่งานนี้ฟรีตลอดงานซะด้วย น่าเสียดายแทนครับ ฮ่าๆ ผมไปถึงก่อนเวลางานเริ่ม 1 ชม. จึงเดินสำรวจอะไรต่อมิอะไรที่เซ็นทรัลพระรามเก้าตั้งแต่ชั้นบน ลงไปซื้ออาหารง่ายๆ กินและไปเช็คหนังสือนิยายออกใหม่ให้เรียบร้อย จนกระทั่งได้เวลาผมจึงเดินไปยังสถานที่จัดงานอีกครั้ง พบว่ามีคนมามากกว่าเดิมอีก บางคนห้อยกล้องระดับเทพ บางคนคอสเพลย์ตัวละครตัวที่ตนเองชอบมา จนผมคิดว่ามาผิดงาน แต่กับผมงานแบบนี้ถือเป็นความคุ้นชินครับ เพราะไปมาบ่อยๆ ว่าแล้วก็มองหาเพื่อนอีกสองสามคนที่รู้จักกันทางเน็ตจนเจอและไปยืนอยู่กลางๆ เวทีด้วยกัน

(ภาพตอนออกจากบ้าน ฟ้ามืดน่ากลัวมาก แต่ในใจผมสดใสนะ ⌒▽⌒)


ระหว่างที่เจ้าของงานคือคุณคอนโด มากล่าวเปิดงาน ก็มีการแสดงโชว์สัก 4-5 เวทีได้ เป็นการร้องเพลงอนิเมชั่นจากหลายๆ เรื่อง และการแสดงโชว์ต่อสู้จากคอสเพลย์เยอร์เกาหลีที่ได้รับเชิญมา ทั้งสองคนนี้สู้กันสนุกมากครับ กระทั่งการแสดงทั้งหมดจบลง ก็ได้เวลาของตัวเอกหลักของงานกันเสียที มิยูโกะซังกับกลุ่มเพื่อนของเธอ ก็ขึ้นเวทีมาเต้นโคฟเวอร์เพลงจากอนิเมชั่นเรื่อง Love ! Live ! School Idol Project 

(จากซ้าย JJDoll , Asa Miyuko , Yannbyeol)


(แขกรับเชิญสุดฮอตอีกท่านหนึ่ง Reika จากประเทศญี่ปุ่น ปล.ผู้หญิงนะจ้ะ)


ถึงผมจะผ่านงานคอสเพลย์มาเยอะ แต่ไม่เคยรู้สึก ประทับใจ เช่นนี้มาก่อน ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะว่าเธอคือคอสเพลย์เยอร์จากประเทศเกาหลีใต้ที่มาไกลมากๆ และอีกอย่างหนึ่งก็คือผมเป็นแฟนคลับของเธอมาได้ประมาณ 2 ปีการได้พบกับตัวจริงเสียงจริงแบบนี้ มันช่างเป็นอะไรที่ปลาบปลื้มมากครับ หัวใจแทบจะทะลุออกจากอก และยังเต้นแรงมากๆ อีกด้วย 

เวลาบ่ายสองคุณคอนโด คนจัดงานก็ประกาศว่าจะมีกิจกรรมแจกลายเซ็นต์ของมิยูโกะและแขกรับเชิญคนอื่นๆ ช่วงเวลานั้นแหละครับเป็นช่วงเวลาที่ผมรอคอยมากที่สุด !! โดยการแจกลายเซ็นต์จะแจกตามลำดับ ให้ไปซื้อบัตรที่หน้าทางเข้าในราคา 100 บาทไทย มีบัตรให้สามใบ แม้จะใบเล็กแต่เปี่ยมด้วยคุณค่าครับ ผมรีบไปเข้าแถวซื้อด้วยความรวดเร็วแต่ร่างกายที่ใหญ่ตุ้มตุ้ยจนช้าหน่อย เมื่อได้บัตรสามใบมาก็เข้าแถวรอเซ็นอย่างใจจดใจจ่อ อูยยย เมื่อไหร่จะถึงคิวเรานะ .... (・_・)

เมื่อถึงคิวผม ผมก็รีบยื่นบัตรทั้งสามใบให้พวกเธอคนละใบ โดยที่แต่ละใบเป็นหน้าตาของใครก็ต้องยื่นให้คนนั้น โดยที่ JDoll เซ็นเสร็จเป็นคนแรก ผมรีบรับบัตรมาและพูดกับเธอว่า 감사합니다..(คัมซาฮัมนิดา) ซึ่งเป็นคำขอบคุณในภาษาเกาหลี เพราะผมรู้มาว่าพวกเธอมาจากประเทศเกาหลีใต้ จึงต้องพูดภาษาบ้านของพวกเธอเพื่อให้ประทับใจ และผมยังเพิ่มคำว่า "ขอบคุณครับ" เข้าไปอีกด้วย เป็นไปตามคาด พวกเธอตกใจและยิ้มให้ผมพร้อมกับจับมือกันด้วยครบทั้งสามคน จะปลื้มใจที่สุดก็ตอนที่จับมือกับมิยูโกะนั่นแหละครับ วันนั้นทั้งวันแทบไม่อยากจะล้างมือเลย ความอบอุ่นจากมือของพวกเธอยังคงอยู่ ตอนที่ผมกลับบ้านผมก็ได้แต่เก็บความทรงจำเมื่อครู่นี้ไว้ พร้อมกับคิดในใจว่าสักวันจะต้องพบเจอกับพวกเธออีก สรุปว่าวันนี้ ฟินครับ (≧▽≦)

(การแสดงสดบนเวที)

(ณ จุดแจกลายเซ็น)

(ลายเซ็นของพวกเธอทั้งสาม (≧▽≦))


ยังไม่จบเพียงเท่านี้นะครับ จากข้างบนผมบอกไว้ว่าสักวันผมจะต้องเจอกับพวกเธออีก และแน่นอนว่าเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มิยูโกะได้มาเยือนเมืองไทยอีกครั้ง !! ซึ่งก่อนที่เธอจะมากรุงเทพฯ นั้นเธอได้ไปร่วมงานที่จังหวัดอุบลราชธานีและเชียงใหม่เพื่อร่วมงานเทศดาลลอยกระทงที่เชียงใหม่ด้วย แต่ผมไม่ได้มีพลังทรัพย์ขนาดจะจับจองเครื่องบนไปหาเธอได้ จึงตัดสินใจไปร่วมงานที่จัดที่กรุงเทพฯ เซ็นทรัลเวิร์ลแทน แค่รู้ว่ามาใกล้กันขนาดนี้ก็ดีใจแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เลยละ 




(แผนผังสรุปงานที่มิยูโกะไปร่วมสนุกมา)


ทว่า ค่าเข้างานแฟนมีตติ้ง (Fan Meeting) ครั้งนี้อยู่ที่ 500 บาท บรรดาเพื่อนๆ ที่ผมชวนมาพอทราบว่าเสียเงินครึ่งพันต่างก็พากันแคนเซิลทุกคน ! ย้ำว่าทุกคนครับ สรุปว่างานนี้ผมต้องไปเดี่ยวคนเดียวซะแล้ว (แต่ก็ยังดีครับที่เจอน้องร่วมเว็บบอร์ดมาร่วมงานด้วย ไม่เก้อแล้ว) งานนี้นัดเจอกันตอนบ่ายสองโมงบนโรงหนังชั้น 8 ของเซ็นทรัลเวิร์ล ผิดคาดครับที่มีคนมากันน้อย แต่ทุกคนต่างก็มีกล้องเจ๋งๆ สะพายติดตัวมา ส่วนผมก็เอาเสื้อโค้ดมาสวมเพราะมันหนาวไปนิดนึง กลายเป็นคนน่าสงสัยไปในทันที


ผมไปจ่ายเงินค่าเข้างานพร้อมกับเลือกซื้อรูปถ่าย 2 ใบแยกอีกต่างหาก (บัตร 500 บาทได้ภาพถ่ายสำหรับเซ็นชื่อ 1 ใบ ส่วนใบอื่นๆ ขายแยกในราคาใบละ 100 บาท) เบ็ดเสร็จผมเสียไป 700 บาทครับ และเมื่อถึงเวลานัดรวม คอนโดซัง (เจ้าภาพเก่าจากงานที่แล้ว) ก็ปรากฏตัวออกมาและแนะนำให้ทุกคนได้พบกับมิยูโกะซัง

ส่วนชุดที่มิยูโกะซังใส่มาวันนี้ คือชุดของ Kuroneko เวอร์ชั่น Maid จากอนิเมชั่นเรื่อง Ore no Imōto ga Konna ni Kawaii Wake ga Nai หรือในชื่อไทย น้องสาวของผมไม่น่ารักขนาดนั้นหรอก




(หลังจากเธอปรากฏตัวช่างภาพก็รุมถ่ายกันมือเป็นระวิง)


จากนั้นทีมงานก็แจ้งว่า เขาจะเรียกให้ไปถ่ายรูปกับมิยูโกะครั้งละ 5 คน คิวของผมได้คิวที่ 15 ก็เป็นคนสุดท้ายของกลุ่ม 3 จึงขึ้นไปรอที่เล้าจ์ด้านบน เลือกนั่งได้ตามใจชอบ ผมไปนั่งอยู่มุมสุดของเล้าจ์และได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ที่อายุน้อยกว่าหนึ่งปี แต่มีความสามารถด้านภาษาอังกฤษ, ภาษาไทยและภาษาเกาหลีครับ (น่าจะถนัดภาษาญี่ปุ่นด้วย) เราคุยกันถูกคอจนปัจจุบันนี้ก็แอดเพื่อนไว้ติดต่อกันครับ ระหว่างที่รอมิยูโกะซัง ทุกคนที่ขึ้นมาเตรียมพร้อมต่างก็เช็คกล้อง ปิดแฟลช เปิดแฟลช ลองแฟลช ลองเลนส์แบบยาว ฯลฯ จนสุดที่จะว่าได้ แลกเปลี่ยนความรู้เรื่องการถ่ายภาพ การปรับแสงกัน ผมนั่งอยู่หลังสุดได้ยินทุกคำ จนรู้สึกสนุกไปด้วย




และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง ทีมงานเรียกเบอร์ 11-15 ไปเข้าคิวถ่ายรูป ผมเดินไปกับกลุ่มผมและเริ่มต้นถ่ายรูปมิยูโกะซังอย่างมันส์มือครับ เธอโพสต์ท่าไหนถ่ายได้ท่านั้น กล้องดิจิตอลผมสู้กล้องแบบกดชัตเตอร์รัวๆ ของคนอื่นๆ ไม่ได้จึงได้ภาพน้อยกว่าพวกเขามาก และที่พิเศษอีกอย่างหนึ่งก็คือสามารถถ่ายรูปคู่กับมิยูโกะซังได้ด้วย !! 

คงไม่ต้องบอกนะครับว่าผมจะทำอะไรต่อไป ≧▽≦

(ภาพนี้ถ่ายโดนกล้องของผมเอง)

(ภาพนี้ถ่ายโดยกล้องของผมเอง)


หลังถ่ายรูปเสร็จ ก็ถึงเวลาเซ็นชื่อ พวกเรานั่งล้อมวงกันโดยมีมิยูโกะซังอยู่ตรงกลาง ก่อนจะเริ่มถาม เธอได้นำขนมเปี๊ยะเม็ดมะม่วงมา "ป้อน" ให้กับพวกเราทีละคนๆ ด้วยมือของเธอ พวกเรามองหน้ากันราวกับจะบอกว่า "นี่มันเป็นไปไม่ได้" แต่ก็เป็นไปแล้วครับ เธอป้อนขนมให้พวกเราทีละคนๆ รวมถึงผมด้วย ผมไม่สามารถบันทึกเหตุการณ์นี้ได้ทัน แต่ว่านั่นเป็นขนมเปี๊ยะที่อร่อยที่สุดตั้งแต่ผมเคยกินมาเลยทีเดียว

เราเริ่มต้นถามคำถามเธอว่า ตั้งแต่ที่มาเมืองไทย ได้กินอะไรมากที่สุด เธอตอบว่าข้าวผัดด้วยสำเนียงเกาหลีพูดไทยไม่ชัด พวกเราสนุกกันมากที่เธอตอบคำถามได้ถูกใจพวกเรา จากนั้นก็เริ่มต้นเซ็นชื่อลงบนภาพถ่ายที่ได้รับมา ผมมีสามใบเธอก็เซ็นให้สามใบเลย เสร็จแล้วผมก็ไม่ลืมกระทำอย่างเดิม พูดขอบคุณเป็นภาษาเกาหลีกับเธอ (ภาษาไทยด้วยนะ) เธอยิ้มและพูด "ขอบคุณค่ะ" แบบเกาหลีพูดไทยไม่ชัดตอบกลับและจับมือกัน คงไม่ต้องอธิบายแล้วว่าตอนนั้นหัวใจผมมันกระโดดขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศไหนๆ บนจักรวาลแห่งนี้แล้วล่ะ

ความรู้สึกตอนนั้นก็คงประมาณนี้ >>> “ヽ(´▽`)ノ” <<<<


(ภาพลายเซ็นแห่งประวัติศาสตร์ ... KROD ชื่อเล่นของผมเองครับ)


(ภาพถ่ายสองลายเซ็นที่เหลือ ผมเล่นเกม LoL ก็เลยเลือกสองใบนี้มา)


 



----------------------------------------------------------------------------------------------------------

บทสรุปของทั้งหมด

ครับ สำหรับคนที่ขี้เกียจอ่าน แล้วข้ามมาอ่านบทสรุปส่งท้ายนี้ ก็เริ่มต้นอ่านได้เลยครับ

ทั้งสองงานที่ผมได้ไปพบกับคอสเพลย์เยอร์ในดวงใจคนหนึ่งมานี้นั้นเป็นความทรงจำเรื่องหนึ่งที่มีความสุขมากที่สุด ไม่เชิงว่าได้พูดคุยโต้ตอบกันเป็นชั่วโมงๆ แต่เพราะแค่การได้พบกับเธอตัวจริง เสียงจริง รูปลักษณ์จริงๆ มันทำให้ผมราวกับได้ย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เหมือนกับเด็กเล็กๆ ได้รับของเล่นหรือเจอสิ่งที่ถูกใจก็จะเล่นกับมันทุกวัน ถึงผมจะมีศิลปินหรือนักร้องมากมายในดวงใจที่อยากเจอ แต่มันก็เทียบได้กับการเจอมิยูโกะซังเพียงคนเดียว ไม่ว่าผมจะเจอใครที่ถูกใจผมก็จะรู้สึกเช่นเดียวกันนี้ เป็นความรู้สึกประทับใจที่มิอาจจะรู้ลืม ผมถึงต้องถามไปตั้งแต่ต้นๆ เรื่องไงล่ะครับว่า "คุณเคยพบกับศิลปินหรือนักแสดงที่ตนเองปลาบปลื้มมากๆ แบบจะจะบ้าง" นั่นแหละครับคือสิ่งที่ผมรู้สึก ทั้งตื้นตันใจ ซาบซึ้งใจและสุขใจที่ได้พบ เราอยู่ซีกโลกเดียวกันแต่ระยะทางที่เราจะได้พบกันนั้นมันช่างยาวเหลือเกิน ด้วยเหตุนี้ผมจึงอยากจะฝึกปรือภาษาให้ดีขึ้นและเดินทางรอบโลกเพื่อไปค้นหาพวกเขาเหล่านี้ที่ผมถูกใจ ให้พวกเขาได้รับรู้ว่าแฟนคลับที่บ้าระห่ำแบบผมนี้ มีอยู่จริงครับ

มีเหตุใดสงสัยติดต่อที่ Friendly_dimond_dmj_asawin@hotmail.com 
หรือ facebook.com/acidkrod ครับ

เครดิตและที่มาของภาพ
Photo By L (Facebook Fan page)
Photo By Black Rabbit
ภาพบางส่วนของผมเอง
Miyuko Official Facebook Fan Page

วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ชื่อนั้นสำคัญไฉน? จงใส่ใจมันเสียเถิด

ไม่ว่าความมืดใดๆ หากลองตั้งชื่อให้มัน ความกลัวทั้งหลายก็จะหายไป"
---ผมเอง

เริ่มต้นมาก็เน่าเลย เอาละ ช่างเถอะ จั่วหัวเลยก็น่าจะรู้ เรื่องชื่อน่ะนะ สำคัญมากเลยแหละ ใครเกิดมาไม่มีชื่อกันบ้าง ถ้าลองตั้งชื่อดูมั่วๆ นานๆ ไปก็(อาจ)จะเป็นที่จดจำของผู้ที่เรียก การตั้งชื่ออะไรบางอย่างมีมาแต่โบราณ เป็นการกำหนดถึงคำเรียกของสิ่งนั้นๆ เช่น คนสมัยโบราณ 4 คนคุยกัน คนหนึ่งหยิบของบางสิ่งขึ้นมา "ตูจะเรียกสิ่งนี้ว่า หิน" คนอื่นๆ ก็เห็นดีด้วย ส่วนคนที่สองก็หยิบบางอย่างขึ้นมาและพูดว่า "ตูจะเรียกสิ่งนี้ว่า หญ้า" คนอื่นๆ ก็เห็นดีด้วย คนที่สามชูมือขึ้นไปข้างบนและชี้บางสิ่ง "ตูจะเรียกสิ่งนั้นว่า นก" คนอื่นๆ ก็เห็นดีด้วย ส่วนคนสุดท้ายก็พูดว่า "ตูจะเรียกทั้งหมดนี้ว่า ชื่อ ดีไหม" คงไม่ต้องบอกนะว่าคนอื่นจะบอกว่าอะไร

ครับ ... ขอพัฒนามายังโลกปัจจุบัน การตั้งชื่อตามถิ่นฐานก็แพร่หลายไปเรื่อย ประเทศใดมีภาษาแบบใดก็ตั้งชื่อตามภาษาแม่ของตนเองตามนั้น แต่ช่วงปี 1990+ เป็นต้นมา เท่าที่ผมเคยอ่านเจอในหนังสือเล่มใดเล่มหนึ่ง ก็เริ่มมีสิ่งแปลกประหลาดเรียกว่า "วัฒนธรรมการตั้งชื่อตามใจตนเอง" ขึ้นมา ประเภทว่า ใครไม่พอใจชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ก็ไปเปลี่ยนซะ หรือเปลี่ยนชื่อเล่นที่ใช้อยู่ให้เป็นอย่างอื่นที่คิดว่าเหมาะกับตนเองมากที่สุด แต่ถ้าจะเป็นประโยชน์สูงสุดผมว่าการตั้งชื่อตนเองควรใช้กับหลักสากลทั่วไป เช่น คนไทยตั้งชื่อภาษาอังกฤษเพื่อไปเข้าสังคมกับเพื่อนที่เป็นชาวต่างชาติ ซึ่งแบบนี้ผมเองก็ใช้อยู่ ผมไม่ได้ใช้ชื่อจริงของผมในภาษาไทยติดต่อกับเพื่อนชาวต่างชาติ แต่ใช้ชื่ออื่นที่ตั้งขึ้นมาเองในการติดต่อพวกเขา (กระแดะมั้ยล่ะ) นั่นแหละ ก็เรื่องชื่ออีกเช่นกัน ใครมีชื่อเจ๋งๆ แนะนำบ้างมั้ย ...




เกริ่นมานานแล้ว เข้าเรื่องดีกว่า นี่เหมือนกับเป็นการแนะนำตัวเองทางอ้อมนะ ไม่ถึงกับรายละเอียดข้อมูลบนทะเบียนบ้าน แต่แค่อยากจะรวบรวมชื่อที่ผมเคยใช้บนโลกออนไลน์มาไว้ในที่นี้เท่านั้น กันลืมเท่านั้นแหละ ว่าแต่มีชื่ออะไรบ้างน้า ....

  1. No Name ตั้งแต่จำความได้ ผมก็ใช้ชื่อนี้ซะแล้ว สมัยผมเป็นเด็กประถม ไม่สิ หลายๆ คนในวัยประถมก็คงรู้จักเกม Counter-Strike กันสินะ นั่นแหละ สามารถตั้งชื่อตัวละครที่เราเล่นได้ ผมไม่อยากจะให้เหมือนบอท (Bot) ในเกมทั่วๆ ไป เลยตั้งชื่อแบบแหวนแนวนี้ซะเลย "ไม่มีชื่อ" ฮ่าๆ บอทก็คง งง นะ ชื่อนี้ถูกผมนำไปตั้งเป็นชื่อในเกม Half-Life อีกครั้งตอนขึ้นประถม 6 ก่อนที่จะเลิกใช้ชื่อนี้ไปเพราะเพื่อนแถวบ้านใช้ชื่อนี้เช่นกัน ..."ไม่จำเป็นต้องมีสองคนนี่ จริงไหม"
  2. Vasilly ขอไม่เรียงลำดับชื่อ ชื่อนี้ถูกใช้ตั้งในเกม Half-Life อีกเช่นกัน โดยพัฒนามาจากชื่อ No Name นั่นแหละ เพราะมันซ้ำกับเพื่อน
  3. PET007 ชื่อนี้ถูกในครั้งแรกในเกม TS Online (สามก๊กออนไลน์) รูปแบบ Turn-Base ที่ผมชอบมากจนต้องไปเล่นเซิร์ฟเวอร์ต่างประเทศอีกที ตอนนั้นผมสมัครไอดีเกมไม่เป็น เลยยืมน้องชายแถวบ้านเล่น ปัจจุบันเกมนี้ปิดให้บริการไปแล้ว ลาก่อนนะ 007คุง
  4. ดราก้อนแมน ชื่อนี้ถูกใช้ครั้งแรกในเกม Ran Online เกมนักเรียนต่างสถาบันตีกัน เล่นถึงเลเวล 55 ก็เลิกซะแล้ว โบกมือลาด้วยเลยละกัน ดราก้อนแมน 555
  5. MasterPiece ชื่อนี้ถูกใช้ครั้งแรกในเกม HY Online (หวงอี้ออนไลน์) เกมกำลังภายในมันส์จ๊าดง่าว แต่เลเวลขึ้นยากไปนิด เติมเงินเยอะด้วย แต่ไม่เทพ โบกมือลาอีกเช่นกัน
  6. [GM] Rider Boy ชื่อนี้ถูกใช้ครั้งแรกในเว็บบอร์ด Pramool ใช้เพื่อรับสมัครตัวละครในนิยายเรื่องแรกในชีวิตด้วยเช่นกัน ไม่สิ ขออภัย เรื่องที่สองต่างหาก นิยายเรื่องแรกของผมชื่อ "สามก๊ก : มหาสงคราม" (อยากอ่านลองเสิร์จใน Google แล้วพิมพ์ตามนี้ ต่อท้ายด้วย Pramool) ส่วนเรื่องที่สองคือ "Resident Evil ตะลุยเมืองวีโก" ก็เสิร์จหาเอาใน Pramool อีกละกัน ปัจจุบันเลิกเขียนไปแล้ว แต่ยังเอาข้อมูลมาใช้อยู่ ดีเหมือนกันนะ

หลังจากนี้จะเอาชื่อที่สำคัญๆ จนสามารถทำให้ผมมายืนอยู่ ณ จุดนี้ได้อย่างดีเยี่ยมมาลงแทน บางชื่ออาจจะมีรายละเอียดย่อยก็แล้วแต่ละกันครับ

  1. [N]o[V]a ชื่อนี้ถูกใช้ในเกม Point Blank Online ปัจจุบันยังเล่นอยู่
  2. Black[X]in ชื่อนี้ถูกใช้ในเกม A.V.A จนทำให้ผมไปถึงรอบรองอันดับสามประเทศไทยได้ แต่ตกรอบซะก่อน ปัจจุบันเล่นอยู่
  3. FaBuLouS ชื่อนี้ถูกใช้ในเกม Digimon Master Online ปัจจุบันยังเล่นอยู่
  4. PhOeBuS_L11 ชื่อนี้ถูกใช้ในเกม League of Legends ปัจุบันยังเล่นอยู่
  5. Dragunity ชื่อนี้ถูกใช้กับเกม Three Kingdom Online 2 ปัจจุบันเลิกเล่นไปแล้ว
  6. Divian ชื่อนี้ถูกใช้กับเกม Atlantica Online ปัจจุบันเลิกเล่นแล้ว และเกมนี้เป็นเกมที่ทำให้ผมแต่งนิยายที่ยาวที่สุดในชีวิตของผมได้
  7. BerSerk ชื่อนี้ถูกใช้กับเกม Trickster ปัจจุบันเลิกเล่นไปแล้ว
  8. Kamishiro Tsurugi เรียกได้ว่าเป็นชื่อที่มีความหมายกับผมมากที่สุดในชีวิตจนถึงทุกวันนี้ แต่เดิมชื่อนี้เป็นชื่อของตัวละครตัวหนึ่งในซีรี่ส์หนังโทคุซัทสึ Kamen Rider Kabuto โดยคามิชิโระ ซึรุกินี้เป็นชื่อของ Kamen Rider Sasword ตัวไรเดอร์รองร่างแมงป่องสีม่วงที่ผมชอบมากที่สุด นอกจากนักแสดงนำ (ามาโมโตะ ยูสุเกะ) จะเท่บาดใจแล้ว การแสดงของเขาก็ดีเยี่ยม ผมจึงนำชื่อในการแสดงนี้มาใช้เป็นนามแฝงในเว็บบอร์ดต่างๆ จนแจ้งเกิดตัวผมในปัจจุบันนี้ได้ เป็นชื่อที่ผมจะไม่มีวันลืมและทรยศมันเด็ดขาด ! 
ก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้สำหรับเรื่องชื่อของผม ขาดอะไรต้องขออภัยเพราะวัยขนาดนี้ให้จำชื่อที่ตั้งมาได้ก็คงไม่หมด ก่อนจากกันขอลงภาพตัวละครในเกมของผมไว้ให้ดูเล่นๆ ต่างหน้า แล้วเจอกันใหม่ ถถถ


(FaBuLouS สุดหล่อกับดิจิม่อนคู่ใจเลเวล 90)

(Divian นักดนตรีชายเลเวล 120)

(BerSerK ควายถึกล่าบอส เลเวล 143)

(Dragunity จอมยุทธ์หน้ากากเสือ เลเวล 118)

(Black[X]in มือปืนจอมโหด ยศพันโท ขั้นสอง)

(PhOeBuS_L11 สังเกตที่ขวาบนสีม่วงๆ)


วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

กลับมาทำอะไรแบบนี้อีกแล้วนะ !

ไม่คิดว่าจะได้มาจับอะไรๆ ที่เกี่ยวกับ Blog นี่อีกเลยนะ ตั้งแต่ Exteen Blog เก่าของตัวเองระเบิด (หาย) ไปเนี่ย มันก็เหมือนกับว่าเส้นเลือดในแขนขวาเส้นที่สามเยื้องไปทางขวา 45 องศาจากข้อศอก อยู่ต่ำกว่าเส้นเลือดใหญ่มันหายไปเลยทีเดียว ... ถ้าจะสรุปง่ายๆ ก็คือเหมือนไม่มีอะไรหายไปนั่นแหละ แต่ ... ทำไมต้องกลับมาจับ Blog นี่อีกล่ะ เพราะอะไรกัน ...

(รูปภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา)

หลายปีดีดักที่ผมผู้เขียนคนนี้ไม่ได้เล่นโปรแกรมที่เกี่ยวข้องกับการเขียนบล็อคหรือไดอารี่ส่วนตัว มันนานจริงๆ ถ้าจำความได้ก็คงสัก 7-8 ปีที่แล้ว ... อยู่ม.ต้นเลยนี่หว่า ใช่แล้ว ช่วงม.ต้น ใครมันจะบ้าเขียนบล็อค / ไดอารี่กันบ้าง ถ้าเป็นผู้ชายก็คงโดนล้อเป็นตุ๊ดเป็นแต๋ว ถ้าเป็นผู้หญิงก็ถูกหาว่าน่ารัก กระหนุงกระหนิง ต่างจากผู้ชายราวฟ้ากับเหว แต่ความลับก็มีในโลก นะ ผมเขียนไดอารี่ / บล็อคไว้เพื่อประโยชน์บางอย่างเช่น เอาไปเป็นเรื่องขำขันในอนาคต เผื่อว่าอยากกลับมาอ่านให้มันตลกเล่นๆ, เอาไว้ให้ลูกให้หลานอ่าน มันเป็นคำพูดติดปากผมเลยทีเดียวไอ้ลูกไอ้หลานเนี่ย เพราะว่าถ้าผมอยู่ถึงวันที่มีหลานได้ หลานคงปลื้มกับการกระทำของปู่คนนี้เป็นแน่ (มั้งนะ) และข้อสุดท้ายก็คงจะแบบว่า ในอนาคตข้อมูลบางอย่างที่ในอดีตหาไม่ได้แล้ว ก็จะสามารถพึ่งบล็อค / ไดอารี่นี้ได้อีก เหมือนกับเป็นการเตือนความจำตัวเอง อะไรๆ ที่จดๆ ไว้ก็เอามาอ่านเพื่อย้อนวัยได้ เยี่ยม ... รวบรัดไปไหม ข้อสามไม่จำเป็นต้องมีก็ได้มั้ง


(รูปภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา)

บล็อคสำหรับผม ก็เหมือนหน้ากระดาษหน้าหนึ่งที่รอใครสักคนมาอ่าน เหมือนอะไรนะ นิยายออนไลน์ตามเว็บบอร์ดน่ะเหรอ ใช่แล้ว ถ้าพูดถึงนิยายตามเว็บบอร์ดออนไลน์ก็ต้องรอให้มีคนมาอ่านอยู่ดี ยอด View (ยอดเข้าชม) ก็อาจจะพุ่งกระฉูด โดยเฉพาะถ้านิยายเรื่้องนั้นสนุก ตื่นเต้น น่าติดตาม มีฉากเลิฟซีน ตบจูบ ฯลฯ ก็จะทำให้สิ่งที่เราต้องการจะสื่อนั้นสามารถเข้าไปครอบครองหัวใจของผู้อ่านได้ เมื่อก่อนผมมีบล็อคไว้บ่น พล่าม ไร้สาระ มีข่าวอะไรก็แชร์ไป แต่สมัยนี้เขียนข่าวได้ดีกว่าสมัยก่อน คงไม่ต้องบอกนะเพราะวุฒิภาวะมันเจริญตามไปด้วย (เยี่ยม) นิยายผมก็มีหลายเรื่อง อยากอ่านมั้ย ไว้ทีหลังเถอะ เชื่อสิว่าตอนนี้ผมกลับมาเล่น Blog อีกครั้งเพราะงานที่ครูมอบหมายให้ทำ ... ถ้าผมติดใจ บอกตรงๆ เลยว่าอาจจะจับ Blog กลับมาเล่นอีกครั้ง โดยให้มันเป็นไดอารี่พล่าม พ่น บ่น พูดไร้สาระไปวันๆ ก็เท่านั้นเอง


(รูปภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหา)

อยากที่กล่าวไว้ในช่วงที่ 2 ผมสร้างบล็อค / ไดอารี่นี้ขึ้นมาก็เพื่อตอบสนองวิชางานของคุณครูท่านหนึ่ง ซึ่งผมจะต้องนำไปเสนองานให้กับท่านให้ทันในวันพุธหน้านี้ (19 ธันวาคม 2556) เช่นนั้นแล้ว ก็เลยต้องกลับมารีสกิลวิชาการเขียนของตัวเองใหม่อีกครั้ง ไม่อยากจะคุยนะแต่วิชาการเขียนของผมสมัยม.ต้นผมได้ 175 คะแนนจาก 200 คะแนนการทดสอบ (ขอบคุณครับ!) เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีอะไรอย่างอื่น เนื่องจากหัวข้อไม่เกี่ยวกับการแนะนำตัว ก็เลยต้องขอละเว้นมันไว้ก่อนละกัน วันนี้ขอจบเท่านี้ สวัสดี เอิงเอย ....